เวอร์ชันเต็ม: [-- [เรท18+] ฝากผลงานโฆษณาสีสุดเซ็กซี่ ถ่ายด้วยกล้อง RED ครับ --]

ThaiDFilm : ถ่าย VDO DSLR และ ตัดต่อ หนังสั้น -> Recommend : ผลงานแนะนำ -> [เรท18+] ฝากผลงานโฆษณาสีสุดเซ็กซี่ ถ่ายด้วยกล้อง RED ครับ [สั่งพิมพ์] เข้าสู่ระบบ -> ลงทะเบียน -> ตอบกลับ -> ตั้งกระทู้

wanneewandee 2012-10-04 01:43

[เรท18+] ฝากผลงานโฆษณาสีสุดเซ็กซี่ ถ่ายด้วยกล้อง RED ครับ

ขอฝากผลงานโฆษณาสุดเซ็กซี่  ติชมกันได้เต็มที่เลยครับ




Credits:
Directed and Edited by Kittichai Wanprasert
Produced by Kiattisak Phiokao
Red One Camera Photographer : เสนาะ เวียงจันทร์
Gaffer : yamyim.tk@facebook.com
Behind the Scene : Tawatchai Kedsri
Wanneewandee Production Unit : Pattana Junjareonsuk Prab Prabpai
Post-production by Wanneewandee Production Company
www.wanneewandee.com

kapomkab 2012-10-04 08:56
ผมนึกว่าโฆษณาชุดชั้นในครับ อิๆๆๆ

kimgrapher 2012-10-04 09:04
อุตส่าห์! ใช้เรด

kailek 2012-10-04 09:09
สีที่ราดลงบนตัวมันช่างตัดกันได้อย่างงดงามมาก ลืมดูผู้หญิงเลย สวยครับ

kennytan 2012-10-04 10:13
แสงที่ผู้หญิงสวยครับ แต่ที่ผู้ชายน้อยไปหน่อย เขาผิวดำอยู่แล้วด้วย
เวลาถ่ายเจาะ สลับไปมา ผมว่าไม่ต้องยืนตรงข้ามกันก็ได้ ให้เขามายืนที่ผู้หญิงให้โดนแสงสวยๆบ้าง

veenono 2012-10-04 10:14
เซ็กซี่มากๆครับ ว่าแต่พระเอกหิ้วสีเต็มถังมือไม่ตึงเลยครับเหมือนถังเปล่า

wanneewandee 2012-10-04 10:20
ขอบคุณทุกคำติชมครับ น้อมรับข้อติทุกประการทั้งปวง จะนำไปปรับปรุงแก้ไขในงานต่อไปครับ^^

vfspostwork 2012-10-04 10:41
คงยังไม่ Final มั๊งครับ จังหวะมันเยิ่นเย้อเกินกว่าจะเป็นโฆษณา เหมือนจะกึ่ง ๆ MV เลย ...

kai35 2012-10-04 10:55
โลกมันเปลี่ยนไปหรือผมมันเชยอยู่กับที่....สีนั้นเห็น..แต่ไม่อินเกี่ยวเรื่องกับสีเลย.....ถ้าทำหนังเรตอาร์ผมชอบเลยนะ....โลกมันเปลี่ยนไปเป็นเรื่องพรรณนี้หมดแล้วหรือเอามาผสมแยกกันไม่ออกเลยเรื่องsexกับอุปกรณ์วัสดุอาหารเดรื่องดื่มเสื้อผ้าเครื่องใช่ ลฯสงสัยคนบนโลกใบนี้ใช่อารมย์SEx แบบนี้เลือกสินค้ามาใช้..........โลกที่โหดร้าย

vfspostwork 2012-10-04 11:18
ใจเย็น ๆ ครับ เรื่องของเรื่องคือ มันดึงความสนใจคนดูไงครับ ทำยังไงจะตรึงให้คนมองจอให้นานที่สุด มันก็แค่นั้น เหมือนคาดโลโก้สินค้าไว้ที่นม คนมองนมก็เห็นโลโก้สินค้าด้วย ...




syndrome 2012-10-04 11:34
    

wanneewandee 2012-10-04 11:40
เรื่องแนวคิด ไอเดีย เป็นความต้องการของลูกค้าครับ ตอนแรกพวกเราก็หนักใจครับ แต่ก็ต้องทำเต็มที่ที่สุดครับ
ซึ่งที่เอามาลงนี้เป็นเวอร์ชั่นที่ Soft กว่าเวอร์ชั่นจริงมากมายครับ เป็นเวอร์ชั่นที่ผู้กำกับตัดต่อใหม่ครับ เสียดายฟุตที่ถ่ายมาด้วยเรดครับ
ถ้าอยากดูเวอร์ชั่นจริงลองเสิชในยูทูปเลยครับ ว่า สีนาคา ไม่ขอเอามาลงในที่นี้ครับ ^^

kai35 2012-10-04 11:47
มันก็ชอบอยู่แต่มันคาบเกี่ยวกัน...........ตกลงจะใช่อารมย์ด้านใหน....ให้คนชมนานๆ.........จะขายความคิดสร้างสรรค์หรือเรืินร่างของคุณผ้หญิง....มันเป็นจิตวิทยาที่จะทำความทรงจำเหล่านี้ฝังใว้ในสมองของมนุษย์...ที่พบเห็น.........ชอบใช่สิ่งที่เป็นด้านมืดของมนุษย์มาให้แสดง.....ธุรกิจไม่เคยปราณีใครโฆษณาชวนเชื่อในด้านSexก็ยังคงมีอยู่ในการเพิ่มยอดขาย.............ต่อไปมีความคิดสร้าสรรค์ทางด้านsexอย่างเดียวก็พอแล้ว.............โษณาที่มีเรื่องsexปนอยู่พอมีสีสรรคบ้างนั้นนะเรื่องดี...........แต่โฆษณษณาที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ในด้านตัวสินค้าที่ไม่มีเรื่องSExมาเกี่ยวข้องก็เยาะแยะไปหรือมันมันตีโจทย์ได้ยากหรือถ้าจับผู้หญิงมาแก้ผ้านมใหญ่ๆมันง่ายกว่าครับ.........สื่อสามารถเป็นแนวทางที่เปลี่ยนจิตใจของคนได้.......ถ้ามีการยำ้ทำยำ้คิด........โลกมนุษย์ที่โหดร้าย.......(หนังR-XXxผมก็ดูนะมันเรื่องธรรมดาแต่มันสมควรที่จะอยู่ในที่ ที่มันจะอยู่และโอกาสสถานที่นะ)

bankmedia 2012-10-04 12:00

vfspostwork 2012-10-04 12:44
ผมว่าพอเถอะครับ เราไม่สามารถทำให้คนอื่นคิดเหมือนเราได้หรอก เหมือนกันกับที่เราก็ไม่สามารถคิดเหมือนคนอื่นได้ ...
กระทู้นี้เจ้าของกระทู้เค้าติดวงเล็บไว้หน้ากระทู้ไว้แล้วว่า [เรท 18+] มันก็ไม่ได้เกินงามอะไร เราไม่ชอบก็ไม่ต้องดูครับ เท่านั้นเอง นะ ...

komy 2012-10-04 16:20

babyju 2012-10-04 18:03
    

sodeclub 2012-10-04 18:42
เพลินครับ

job4922 2012-10-04 23:00
ผมดูผู้หญิงครับ ไม่ได้สนเรื่องสีเลย

ผมชัดเจน

teedee 2012-10-05 09:00
ยึดดดดดด  เบื่ออออออออ  งานดูถูกตัวเองใช้อะไรคิด ขายนมหรือขาย สหสี ดูถูกทั้งสินค้า และคนดู  ลูกค้าได้อะไรที่ทำเนีย  

wanneewandee 2012-10-05 10:15
ขอบคุณทุกๆความเห็นเลยนะครับ ^^

kai35 2012-10-05 11:11
เป็นเพียงแค่เหตุผลหนึ่งไม่ใช่จะให้ทุกคนเชื่อ.....ผมเอามาให้อ่านหลักความเชื่อ
หลักความเชื่อในพุทธศาสนา

    ปัญหาสำคัญที่ทำให้ผู้นับถือพุทธศาสนา ไม่สามารถเข้าใจคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าได้ก็คือเรื่องความเชื่อ คือชาวพุทธส่วนใหญ่มักจะเข้าใจกันว่าพระพุทธเจ้าสอนให้เชื่อในคำสอนของพระองค์โดยไม่ต้องลังเลสงสัย รวมทั้งเราก็มักเชื่อกันว่าคำสอนที่บันทึกอยู่ในตำราพระไตรปิฎกทั้งหมดนั้นเป็นคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า ซึ่งนี่เป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งเราจะมาทำความเข้าใจกันว่าความเชื่อเช่นไรจึงจะถูกต้องกันต่อไป
    ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่าคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นมีอยู่ ๒ ระดับ คือ
    ๑. ระดับธรรมดา (หรือระดับศีลธรรม) ที่เป็นคำสอนในเรื่องการครองเรือน หรือการดำเนินชีวิตของเราตามปรกติ ที่มีผลเป็นความปกติสุข ไม่เดือดร้อน ทั้งส่วนตัวและส่วนรวม ซึ่งคำสอนระดับศีลธรรมนี้จะเป็นคำสอนสำเร็จรูปที่แม้ไม่ต้องใช้ปัญญาพิจารณาก็สามารถนำคำสอนนี้ไปปฏิบัติได้ทันที โดยหลักคำสอนของศีลธรรมนั้นก็สรุปอยู่ที่การไม่เบียดเบียนผู้อื่น การช่วยเหลือผู้อื่น การให้ทาน การรักษาศีล การเสียสละ การให้อภัย การทำหน้าที่การงานให้ถูกต้องด้วยความอดทน ขยัน ซื่อสัตย์ การละเว้นอบายมุข ละเว้นสิ่งเสพติด สิ่งฟุ่มเฟือย และสอนให้ประหยัดอดออม เป็นต้น นั่นเอง
    คำสอนระดับศีลธรรมนี้จะเอาไว้สอนแก่คนธรรมดาที่มีปัญญาค่อนข้างน้อย อย่างเช่นชาวบ้านทั่วๆไป หรือเด็กๆ โดยระดับศีลธรรมนี้จะไม่เน้นเรื่องความเชื่อ คือใครจะเชื่ออย่างไรก็ได้ ขอเพียงไม่ทำความชั่ว แล้วทำแต่ความดีเท่านั้นก็พอ อย่างที่ชาวพุทธส่วนใหญ่กระทำกันอยู่ อย่างเช่นที่เชื่อกันว่าเมื่อทำความดีไว้ในชาตินี้ เมื่อตายไปแล้วจะได้ไปเกิดเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์(ที่เชื่อกันว่าอยู่บนฟ้า) หรือเมื่อทำความชั่วไว้ในชาตินี้ เมื่อตายไปแล้วก็จะตกนรก(ที่เชื่อกันว่าอยู่ใต้ดิน) หรือถ้าหมดกิเลส เมื่อตายแล้วก็จะนิพพาน(นิพพานนี้บางคนก็เชื่อว่าเป็นการดับสูญไปเลย แต่บางคนก็เชื่อว่าเป็นเมืองหรือสภาวะที่มีแต่ความสุขอยู่ชั่วนิรันดร) เป็นต้น
    ๒.ระดับสูง (หรือระดับลึกซึ้งสูงสุด) ที่เป็นคำสอนในเรื่องการดับทุกข์ของชีวิตในปัจจุบัน ซึ่งก็ได้แก่คำสอนในเรื่องอริยสัจ ๔ ซึ่งคำสอนเรื่องการดับทุกข์นี้จัดเป็นคำสอนที่สำคัญที่สุดของพระพุทธเจ้า ซึ่งคำสอนระดับสูงนี้จะเน้นเรื่องความเชื่อมาก โดยจะสอนให้ใช้ปัญญานำหน้าความเชื่อ และจะเอาไว้สอนเฉพาะผู้ที่มีปัญญาเท่านั้น ถ้าสอนคนมีปัญญาน้อยเขาก็จะรับไม่ได้เพราะยังมีสติปัญญาไม่เพียงพอ เหมือนสอนเรื่องยากๆให้กับเด็ก อย่างเช่นถ้าสอนเด็กว่าร่างกายของเราจริงๆแล้วมันไม่มี มันมีแต่ดิน น้ำ ความร้อน และก๊าซที่มารวมตัวกันสร้างขึ้นมาเท่านั้น ซึ่งเด็กจะไม่เข้าใจ เพราะเด็กก็เห็นอยู่ว่ามีร่างกายอยู่จริงๆ เป็นต้น ซึ่งจุดแรกในการสร้างปัญญาของคำสอนระดับสูงก็คือเรื่องความเชื่อ โดยพระพุทธเจ้าได้วางหลักในการสร้างความเชื่อไว้โดยสรุปดังนี้
    ๑. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติด้วยเหตุเพียงสักว่า ฟังจากคนอื่นเขาบอกต่อๆกันมา
    ๒. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติด้วยเหตุเพียงสักว่า ได้เห็นเขาทำสืบๆกันมา
    ๓. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติด้วยเหตุเพียงสักว่า กำลังเป็นที่เลื่องลือกันอยู่อย่างกระฉ่อน
    ๔. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติด้วยเหตุเพียงสักว่า มีที่อ้างอิงจากตำรา
    ๕. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติด้วยเหตุเพียงสักว่า มีเหตุผลตรงๆมารองรับ(ตรรกะ)
    ๖. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติด้วยเหตุเพียงสักว่า มีเหตุผลแวดล้อมมารองรับ(นัยยะ)
    ๗. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติด้วยเหตุเพียงสักว่า คิดเดาเอาตามสามัญสำนึกของเราเอง
    ๘. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติด้วยเหตุเพียงสักว่า มันตรงกับความเห็นเดิมที่เรามีอยู่
    ๙. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติด้วยเหตุเพียงสักว่า ผู้บอกผู้สอนนั้นอยู่ในฐานะที่น่าเชื่อถือ
    ๑๐. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติด้วยเหตุเพียงสักว่า ผู้บอกผู้สอนนี้เป็นครูอาจารย์ของเราเอง
    เมื่อใดที่เรารู้ด้วยตนเองว่า ธรรม(คำสอน)เหล่านี้เป็นอกุศล(ผิด, ไม่ดีงาม), ธรรมเหล่านี้มีโทษ, ธรรมเหล่านี้วิญญูชน (ผู้มีสติปัญญาและมีใจเป็นกลาง) ติเตียน, ธรรมเหล่านี้ถ้ากระทำถึงมาตรฐานของมันแล้ว เป็นไปเพื่อความทุกข์ ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล พึงละเว้นธรรมเหล่านี้เสีย ส่วนธรรมเหล่าใด ที่เรารู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล(ถูกต้อง,ดีงาม) ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ, ธรรมเหล่านี้วิญญูชนสรรเสริญ, ธรรมเหล่านี้ถ้ากระทำถึงมาตรฐานของมันแล้ว เป็นไปเพื่อความสุข เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล พึงเข้าถึงธรรมเหล่านั้น.
    เหตุที่ไม่ให้เชื่อจากการฟังคนอื่นเขาบอกต่อๆกันมาหรือทำตามๆกันมา ก็เพราะมันอาจจะผิดพลาดเอาตอนที่บอกกันต่อๆมาหรือทำกันต่อๆมาก็ได้ ส่วนคำเล่าลือนั้นคนที่มีสติปัญญาเขาไม่ทำกัน มีแต่คนโง่ที่ชอบเล่าลือหรือแต่งเรื่องให้น่าตื่นเต้นเพื่อหวังผลประโยชน์เท่านั้น คำเล่าลือจึงเชื่อถือไม่ได้ ยิ่งสมัยนี้สื่อต่างๆชอบประโคมข่าวให้น่าตื่นเต้น เราก็ต้องระวังอย่าไปหลงเชื่อ
    แม้ตำราก็ยังต้องระวัง เพราะการคัดลอกมาก็อาจจะผิดพลาดมาก่อนจะมาถึงเราแล้วก็ได้ หรือตำรานั้นอาจถูกแก้ไขแต่งเติมให้ผิดไปจากเดิมแล้วก็ได้โดยเราไม่รู้มาก่อน ส่วนเหตุผลตรงๆหรือแม้เหตุผลแวดล้อมที่ดูว่าน่าเชื่อถือมากที่สุดเราก็ยังเชื่อไม่ได้ เพราะถ้าเหตุมันผิด ผลมันก็จะพลอยผิดตามไปด้วย
    ส่วนสามัญสำนึกของเรานั้นยังเป็นแค่เพียงความรู้สึกต่ำๆหรือธรรมดาๆของจิตใต้สำนึกเท่านั้น อย่างเช่นเมื่อเราได้รับการเอาใจหรือเยินยอจากใคร เราก็จะรู้สึกว่าเขาเป็นคนดี และเราก็จะเชื่อใจเขา ซึ่งก็ไม่แน่ว่าคนที่เขามาเอาใจเราหรือเยินยอเราอยู่นั้น เขาอาจจะกำลังหลอกลวงเราอยู่ก็ได้ หรือคนที่เรารู้สึกไม่ชอบ แต่เขาอาจจะเป็นคนดีก็ได้ เป็นต้น ดังนั้นสามัญสำนึกของเราจึงยังเชื่อถือไม่ได้เพราะมันอาจหลอกเอาได้
    บางทีเรามีความเห็นอย่างใดอยู่ก่อนแล้ว เมื่อมีใครมาบอกมาสอนแล้วมันตรงกับความเห็นที่เรามีอยู่เราก็เชื่อ ซึ่งถ้าความเห็นของเรานั้นมันผิดมาก่อนโดยเราไม่รู้ตัว ความเชื่อนั้นก็จะผิดตามไปด้วย หรือแม้คนที่มาบอกมาสอนนั้นดูแล้วน่าเชื่อถือ เช่น เขามีผู้คนเคารพนับถือมาก หรือเขามีปริญญา มีความรู้ด้านนี้มากที่สุด เป็นต้นก็ตาม ก็ยังเชื่อถือไม่ได้ เพราะคนที่มาบอกมาสอนนั้น เขาเองก็อาจจะมีความเห็นผิดมาก่อน โดยเขาเองก็อาจไม่รู้ตัวก็ได้ ถ้าเราเชื่อถือเขา เราก็ย่อมที่จะเกิดความเห็นผิดตามเขาไปด้วย
    แม้แต่ครูอาจารย์ของเราเองก็ตาม ถ้าเขามีความเห็นผิดมาก่อนโดยเขาเองก็ไม่รู้ตัว แล้วเราเชื่อครูอาจารย์ เราก็จะพลอยเกิดความเห็นผิดตามครูอาจารย์ไปด้วยทันที ซึ่งการไม่เชื่อครูอาจารย์นี้เรามักจะคิดว่าเป็นการเนรคุณ แต่เราต้องแยกให้ออกว่าการเนรคุณก็คือการทำให้ผู้มีพระคุณเป็นทุกข์ ส่วนการที่เราไม่เชื่อท่านเพราะท่านอาจจะมีความเห็นผิดมาก่อนนั้นไม่จัดว่าเป็นการเนรคุณ
    หลักความเชื่อนี้จะแนะนำเราว่า “อย่าเชื่อจากเพราะเหตุเพียงแค่นั้น” (คือจากแต่ละข้อ) เพราะความเชื่อในแต่ละข้อนั้นมันมีโอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดได้ทั้งสิ้น ถ้ามันผิดมาก่อนแล้วเราเชื่อตาม เราก็จะเกิดความเห็นผิดไปด้วยโดยไม่รู้ตัว แล้วการปฏิบัติของเราก็จะผิดตามไปด้วย และเมื่อมีการปฏิบัติผิด ผลมันก็ย่อมที่จะผิดตามไปด้วยเสมอ แต่ถึงแม้บังเอิญเราจะได้คำสอนที่ถูกต้องมา แล้วเรานำเอามาปฏิบัติโดยไม่ใช้การพิจารณาไตร่ตรองให้เกิดความเข้าใจเสียก่อน การปฏิบัตินั้นก็ย่อมที่จะเป็นการปฏิบัติที่ไม่ใช้ปัญญา ซึ่งมันก็อาจจะเกิดความผิดพลาดขึ้นได้โดยง่าย
    หลักการสร้างความเชื่อที่ถูกต้องก็คือ เมื่อเราได้เรียนรู้คำสอนใดมา ขั้นต้นเราก็ต้องนำมาพิจารณาไตร่ตรองดูก่อนว่ามีประโยชน์หรือมีโทษ ถ้าเห็นว่ามีโทษ ก็ให้ละทิ้งเสีย แต่ถ้าเห็นว่ามีประโยชน์ก็ให้นำเอามาทดลองปฏิบัติดูก่อน ถ้าปฏิบัติตามอย่างเต็มความสามารถแล้วก็ยังไม่บังเกิดผล ก็ให้ละทิ้งอีกเหมือนกัน แต่ถ้าปฏิบัติตามแล้วบังเกิดผลจริง จึงค่อยเชื่อและรับเอาไปปฏิบัติให้ยิ่งๆขึ้นต่อไป
    จุดสำคัญหลักความเชื่อนี้เราต้องเข้าใจว่า “ไม่ได้ห้ามว่าไม่ให้ศึกษาคำสอนใดเลย” คือเราสามารถศึกษาคำสอนของใครๆก็ได้ทั้งสิ้น คือให้เอาคำสอนนั้นมาไตร่ตรองพิจารณาก่อน ถ้าเห็นว่าไม่มีโทษและมีประโยชน์ ก็ให้นำเอามาทดลองปฏิบัติดูก่อน เมื่อได้ผลจึงค่อยเชื่อ แต่ถ้าไม่ได้ผลก็อย่าเชื่อ อย่างเช่น คำสอนที่ว่า เมื่อจิตเกิดกิเลส (คืออยากได้ หรืออยากทำลาย หรือลังเลใจ) ขึ้นเมื่อใด จิตก็จะเกิดความเร่าร้อนทรมาน หรือเป็นทุกข์ขึ้นมาทันที แต่ถ้าเมื่อใดที่จิตไม่มีกิเลส จิตก็จะสงบเย็น (นิพพาน-ทุกข์ดับ) เป็นต้น ซึ่งเมื่อเราสังเกตจากจิตของเราจริงๆแล้วก็พบว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ เราก็เชื่อได้ว่าคำสอนนี้ถูกต้อง ส่วนคำสอนที่ว่าถ้าหมดกิเลสแล้วตายไปจึงจะนิพพานนั้น เราไม่สามารถพิสูจน์หรือพบเห็นได้จริงในปัจจุบันเราก็อย่าเชื่อ หรืออย่าสนใจ เพราะไม่เป็นประโยชน์แก่เราในปัจจุบัน ถ้าเราเชื่อและมัวลุ่มหลงปฏิบัติตาม โดยหวังว่าจะได้นิพพานเมื่อตายไปแล้ว ก็ย่อมที่จะทำให้เรายังคงมีทุกข์ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ต่อไป ซึ่งความเชื่อเช่นนี้จัดว่ามีโทษอย่างยิ่ง
    การศึกษาพุทธศาสนาในระดับสูงในเรื่องการดับทุกข์นั้น เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเริ่มต้นด้วยการสร้างความเชื่อด้วยปัญญานี้เสียก่อนเท่านั้น เราจึงจะเกิดความเข้าใจพุทธศาสนาได้อย่างถูกต้องแท้จริง แต่ถ้าเราข้ามจุดนี้ แล้วไปสร้างความเชื่อขึ้นโดยไม่ใช้ปัญญา เราก็จะเสี่ยงกับการได้รับคำสอนที่ผิด แล้วก็จะทำให้เรายึดติดกับคำสอนที่ผิดนั้นอย่างเหนี่ยวแน่นโดยไม่รู้ตัว ซึ่งก็จะทำให้เราต้องเสียโอกาสที่จะได้รับรู้คำสอนที่ถูกต้องไปอย่างน่าเสียดาย
    หลักความเชื่อนี้จัดว่าเป็นหลักวิทยาศาสตร์ และเป็นหลักในการสร้างคนให้เป็น “อัจฉริยะทางด้านความคิด” เพราะหลักการนี้จะทำให้เรามีอิสระทางความคิดอย่างเต็มที่ แล้วก็ไม่เป็นทาสทางสติปัญญาของใคร แม้แต่ของพระพุทธจ้าเองก็ตาม ซึ่งหลักความเชื่อนี้เองที่จะเป็นเครื่องตรวจสอบว่าคำสอนใดถูก คำสอนใดผิด แม้คำสอนของพุทธศาสนาเองเราก็ยังต้องตรวจสอบ เพราะมันอาจจะมีความผิดพลาดมาแล้วก่อนที่จะมาถึงเราแล้วก็ได้ ถ้าเราเชื่อจากตำราหรือจากคนอื่น ก็อาจจะทำให้เราเกิดความเห็นที่ผิดขึ้นมาได้ ซึ่งนี่ก็แสดงว่าเราไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ที่ทรงสอนว่าอย่าเชื่อจากใครๆแม้จากตัวเองหรือจากผู้สอนเองก็ตาม จึงขอฝากเรื่องความเชื่อนี้ให้ผู้มีปัญญาทั้งหลายนำเอาไปคิดพิจารณา เพื่อที่จะได้สร้างความเชื่อที่ถูกต้องให้เกิดขึ้นกันต่อไป.

    เตชปญฺโญ ภิกขุ. ๖ กรกฎาคม ๒๕๕๐
    อาศรมพุทธบุตร เกาะสีชัง ชลบุรี
    [ศึกษารายละเอียดได้ที่ www.whatami.net]

vfspostwork 2012-10-05 12:27
มันเป็นเรื่องของกาละ-เทศะ มากกว่าครับ กาละ-เทศะ มันจะบอกว่า เราควรจะหยิบประเด็นไหนมาร่วมพิจารณา ...

หนังโป้ วางขายตามแผง เป็นเรื่องลามกจกเปรต เป็นสิ่งผิดกฏหมาย ตำรวจวิ่งจับกันทั่วบ้านทั่วเมือง ... นี่เป็นหนึ่ง กาละ-เทศะ
แต่หนังโป้ เรื่องเดียวกันนั่นแหล่ะ ท่าน kai35 สามารถนำมานั่งดูในเคหะสถานของท่านได้ โดยที่ไม่มีใครเข้ามายุ่ง ... นี่เป็นอีกหนึ่ง กาละ-เทศะ

หนังโป้เรื่องเดียวกัน แต่พอมันอยู่คนละ กาละ-เทศะ คนละเวลา คนละสถานที่ เราจะหยิบยกประเด็นมาพิจารณาต่างกัน ...

ผู้หญิงแก้ผ้าในที่สาธารณะ เราว่าอนาจาร ตำรวจจับ ... แต่ผู้หญิงแก้ผ้าในห้องเขียนภาพ มีคนมุงเป็นสิบ เราเรียกว่ามันเป็นศิลปะ ...

เพราะฉะนั้น กาละ-เทศะ สำคัญครับ ท่าน kai35 ต้องแยกแยะ และเลือกนำประเด็น หรือ ให้น้ำหนัก ประเด็นที่จะนำมาพิจารณาให้ถูกต้องและเหมาะสม ... ห้องแสดงผลงาน มันเลี่ยงไม่ได้หรอกครับ ที่จะมีผลงานหลากหลายออกมา เราก็มอง ก็พิจารณามันทุกประเด็นนั่นแหล่ะ เพียงแต่ว่า ต้องให้น้ำหนักมันให้ถูก ... เรื่องศีลธรรมจรรยามันก็เป็นประเด็นหนึ่งที่ต้องนำมาขบคิด แต่ ณ. พื้นที่ตรงนี้ เป็นพื้นที่แสดงผลงาน เป็นแขนงหนึ่งของงานศิลปะ เราก็ต้องถัวเฉลี่่ยน้ำหนักกันไป โดยไม่ให้ประเด็นหนึ่งประเด็นใดมีน้ำหนักมากจนเกินไปจนไปลดทอนหรือบั่นทอนประเด็นอื่น ๆ ที่ควรค่าต่อการนำมาพิจารณา (แสง สี แอคติ้ง บท ฯลฯ) หรือ แม้แต่ไปทำลายงานชิ้นนั้น ๆ ไปโดยสิ้นเชิง ...

ปล. เรื่องความเชื่อที่ท่านยกมาเป็นหน้า ๆ นับเป็นเรื่องที่ดีทีเดียว แต่มันเป็นการหยิบมาใช้อย่างผิดกาละเทศะ และ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกระทู้นี้ หรือ เรื่องที่กำลังคุยกันอยู่นี้แม้แต่น้อยเลยนะครับ ผมค่อนข้างงงกับท่านพอสมควรนะ

rotcerid 2012-10-05 12:39
กำลังจะเกิดการห้ามแสดงความคิดเห็น หรือ ควรจะแสดงความคิดเห็น แบบนี้สิ แบบนี้นะ อีกแล้ว

งานหนึ่งชิ้น ออกมาสู่ สาธารณะ

ยิ่งนำมาตั้งกระทู้ให้คนวิจารณ์

ทุกคนก็มีสิทธิ์วิจารณ์ ว่าดูแล้วรู้สึกยังไง

เพื่อที่คนทำจะได้ เสียงตอบกลับจาก คนดู ทุกๆแบบ ทุกๆระดับ

การที่ความเห็นไม่ถูกใจ แล้วลามไปถึง วิจารณ์คนวิจารณ์

ไม่ใช่วิถีทางที่ดี ในระบบเสรี ประชาธิปไตย

ดูแล้วรู้สึกยังไง ก็บอกออกมา ถ้าไม่หยาบคาย หรือ ไม่ตั้งใจทำร้ายใคร

แล้วจะไปสงสัย ไปบิดเบือน ไปไล่เขาทำไม

ก็แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันไปสิ kai35 เขาไม่เห็นต้องเบลมใคร

น้องวันดี จขกท เขาก็ไม่ได้อะไร ถ้าต้องการความเห็นทางเดียว

เขาคง (วงเล็บบอกว่า ชมเท่านั้นนะครับห้ามติ ไปแล้ว)

wanneewandee 2012-10-05 13:19
เห็นด้วยกับพี่อัลฟ่าทีมนะครับ คือพวกเราไม่ได้ซีเรียสอะไรอยู่แล้วครับ เรื่องการวิจารณ์งานผลงานหรืออะไรก็ตามแต่ เรายินดีรับฟังทุกความคิดเห็นอยู่แล้วครับ
ซึ่งงานชิ้นนี้เราก็บอกอยู่แล้วครับว่า ทางลูกค้าเป็นคนคิดคอนเส็บนี้ออกมา ซึ่งทางเราก็ไม่ได้เห็นด้วย 100 %  ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นที่เราทำตาม
ใบสั่งออกมา ซึ่งปล่อยออกมาได้สักพักแล้ว เป็นเวอร์ชั่นที่ค่อนข้างแรงพอสมควร แล้วคราวนี้เวลาผ่านไปเรากลับมานั่งดูฟุต แล้วรู้สึกเสียดายฟุตที่ถ่ายมาด้วยเรด
ก็เลยนำมาตัดต่อใหม่ให้ดูซอฟท์กว่าเวอร์ชั่นที่แล้ว แล้วก็ไม่ได้เน้นตัวสินค้ามากนัก โลโก้สินค้าในตอนท้ายเราก็ตัดทิ้งครับ ซึ่งการที่เราเอามาปล่อยแบบนี้
ก็ต้องมีกระแสทั้งบวกและลบ ซึ่งก่อนปล่อยก็เตรียมใจไว้แล้วครับ แต่ส่วนตัวอยากให้เสพผลงานด้านภาพมากกว่าด้านเนื้อหาครับ ^^

aeing 2012-10-18 12:00
บ้านไหนทาสียี่ห้อนี้ ระวังจะมีคนเข้าไปข่มขื่น อิอิอิ เพราะสีมันเซ็กซ์มากกกกกกกกกกกก

mamipoko_2 2012-10-18 14:49
สวยจริงๆ

sm89 2012-10-18 17:23
อ้าว ขายสีหรอ นึกว่าโลชั่นทาตัว 555555

mathfoto 2012-10-22 14:25

eos 2012-10-22 18:13
ประมาณ ก๊อกน้ำซันว่า ไง 55+

okayhappys 2013-02-07 00:49
จี๊ดเลย

tlechin 2013-09-26 02:10
น้ำลายหกครับ พูดได้คำเดียว 5555


เวอร์ชันเต็ม: [-- [เรท18+] ฝากผลงานโฆษณาสีสุดเซ็กซี่ ถ่ายด้วยกล้อง RED ครับ --] [-- top --]


Powered by phpwind v8.3 Code ©2003-2010 phpwind
Time 0.007434 second(s),query:2 Gzip enabled