พยายามมองงานในมุมของคนที่ทำงานให้ชัดเจน แล้วก็จะได้เหตุผลของความจำเป็นในการมีอยู่ของอุปกรณ์และฟังชั่นต่าง ๆ นั้นเองครับ ...
ความชัดเจนตรงนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อได้ลองพยายามเป็น-คิด-ทำในมุมของ ตากล้อง, ผู้กำกับ, โปรดิวเซอร์, ช่างตัดต่อ หรือใครก็แล้วแต่ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับด้านภาพ, ลำดับภาพ, คิดเรื่อง, เล่าเรื่อง, คุมอารมณ์ของภาพ ฯ แล้วจึงคิดอุปกรณ์มาตอบสนองตรงนั้น แล้วใช้ความสามารถในเชิงช่างนำเสนอความคิดในเชิงสร้างสรรค์ต่อยอดออกไปให้ได้มากกว่าความจำเป็นพื้นฐานและความความคาดหวังของกลุ่มผู้ใช้ ...
สิ่งที่ควรระวัง และ มีโอกาสทำให้ไม่ประสบความสำเร็จ คือ การก๊อปปี้สิ่งที่มีอยู่แล้ว โดยเฉพาะแต่เพียงโครงสร้าง โดยไม่ได้เข้าใจหลักการ-หัวใจของอุปกรณ์เหล่านั้นอย่างแท้จริง, การคิดและทำในมุมมองของช่างแต่เพียงอย่างเดียว โดยไม่ได้เข้าไปสัมผัส-ไม่ได้ไม่เข้าไปเรียนรู้เข้าใจงานให้ถ่องแท้ ก็จะนำมาซึ่งการนำสนอหรือยัดเยียดอะไรก็ตามที่ผู้ใช้ไม่ต้องการได้ ...
* เสริม : เช่นกรณี steadicam คุณควรกำหนดของเขตของน้ำหนักที่ steadicam จะแบกรับเสียก่อน ว่ากว้างแค่ไหน เช่น อาจจะให้รับตั้งแต่กล้อง handycam ไปจนถึง dslr ติดเลนส์ ช่วงน้ำหนักอาจจะประมาณ 300 กรัม ไปจนถึง 1,500 กรัม แล้วจึงร่างแบบ steadicam คร่าว ๆ ออกมา แล้ววางน้ำหนักเพื่อคำนวนจุดศูนย์ถ่วงเมื่อวางอุปกรณ์แต่ละขนาดลงบน steadicam นั้น (300-1,500 g) แล้วจึงทำการปรับแต่งแบบจากค่าที่ได้ ถึงจุดนี้คุณถึงจะได้ขนาดและรูปทรงที่แท้จริงของ steadicam ว่าควรจะเป็นเท่าไหร่ ระยะปรับควรจะเป็นเท่าใด เพื่อให้สามารถรับช่วงน้ำหนักดังกล่าวได้ ... ในทางกลับกัน ถ้าคุณลอกแบบ/ตัวอย่างมา โดยไม่รู้/เข้าใจเลยว่าตัวเลขที่คำนวนก่อนจะมาเป็นสเปคในแบบนั้นเป็นอย่างไรมีค่าเท่าไหร่ คุณก็จะจบและหยุดอยู่แค่ตรงนั้น ยิ่งเมื่อไปถึงผู้ใช้แล้วปัญหาเกิด อาจจะมาจากแบบได้ทำไว้ไม่รองรับ ฯลฯ คุณจะตอบและแก้ไขให้ลูกค้าได้ไม่ชัดเจน ส่วนการจะคิดหาทิศทาง/แนวทางการพัฒนาต่อยอดนั้นยิ่งเลือนลาง ...
|