…..2 คำถามยอดฮิต ไปไหนก็จะเจอแต่คนถาม... - ซื้อคอมตัดต่อ แมคหรือพีซี อันไหนดีกว่ากันคะ …ถ้ามีความรู้เรื่องคอมเป็นอย่างดีก็ซื้อพีซี ดีกว่าประหยัดกว่า แต่ถ้าไม่มีหรือมีความรู้น้อยก็ซื้อแมค...
- ซื้อกล้องรุ่นไหนดีคับ เอามาใช้เรียนแล้วก็เอามารับจ๊อบป็นอาชีพเสริม …มีเงินแค่ไหนก็ซื้อรุ่นนั้น... ( ประเด็นนี้แหละที่อยากเขียนถึง )…
เรามาพูดถึงเรื่องตัวกล้องก่อน กล้องแพงดีกว่ากล้องถูกยังไง ตอบเลยดีกว่าแน่ๆ ดีกว่าเยอะ ถ้าไม่ดีกว่าเขาจะขายแพงกว่าทำไม และจะผลิตออกมาทำไมถ้ามันเหมือนกัน เพียงแต่เราไม่รู้ว่ามันดีกว่ายังไง... และถึงรู้บางทีเราอาจไม่ได้ใช้สิ่งดีๆของกล้องรุ่นแพง... ก็เท่ากับเราซื้อกล้องแพงแต่เวลาใช้จริง.....อาจกลายเป็นกล้องถูกก็ได้ …ชิมิ... หลายคนกังวลว่า ถ้าซื้อกล้องถูกแล้วนำมาใช้ประกอบอาชีพ ลูกค้าอาจไม่เชื่อถือ และยิ่งถ้าลูกค้าถือกล้องแพงกว่าโชว์ด้วย หลายคนยิ่งกลัวหนัก ไม่กล้าแม้จะหยิบกล้องขึ้นมาถ่าย...
….. อารมณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในช่วงวิกฤติไอเอ็มเอฟ ช่วงนั้นโปรดัคชั่นปิดเป็นแถวๆ เพราะไม่มีใครจ้าง ( ลูกค้าตัดงบ ) ส่วนคนผลิตรายการจะเช่ากล้องก็ไม่มีเงินจ่าย จะไม่ทำก็ไม่มีกิน
(ช่วงนั้นมีแต่กล้องเบต้าตัวละล้าน) เหมือนพระเจ้าช่วย กล้องราคาถูกประมาณ 150,000 - 250,000 ออกมาพอดี ทำให้ผู้ผลิตรายการมีทางออก หันมาซื้อเป็นแถว และปัญหา
ที่เกิดตามมา ก็คือ ช่างภาพหลายคนกลัวไม่กล้านำออกไปใช้ เพราะกลัวลูกค้าตำหนิ เวลาผ่านไปจนถึงปัจจุบัน มีอารมณ์กลัวกล้อง DSLR ราคาถูกขึ้นมาแทน
…………….. ( กล้องแต่ละรุ่นจะมีประสิทธิภาพดีเท่าที่มันควรจะเป็น ถ้าเรารู้จักใช้ให้ถูกประเภทของงาน ก็ไม่มีปัญหา ).. วัฏจักรของโปรดัคชั่นมี 3 ส่วน ด้วยกันคือ ตัวลูกค้าผู้ว่าจ้าง , ลักษณะงานที่ให้ทำ , และคนทำก็คือพวกเรา... …
….อันดับแรกเริ่มที่ตัวลูกค้าก่อน ลูกค้าที่เขาจะมาจ้างให้เราทำงานให้ ..มี 2 แบบเท่านั้นคับ 1. ลูกค้ามีความรู้เรื่องโปรดัคชั่น อาจเป็นเจ้าของรายการ โปรดิวเซอร์ หรือใครก็ได้ที่มีความรู้มากกว่าเรา .
..จะบอกคุณเลยว่าผมต้องการอย่างนี้ คุณต้องทำอย่างนั้น…
ลูกค้าสั่งเรา.. ลูกค้ากลุ่มนี้ค่อนข้างทำงานสบาย ไม่ต้องสร้างภาพอะไรในการทำงาน มีไฟดวงเดียวก็ถ่ายได้ , มีกล้องรุ่นอะไรก็ใช้ไปไม่สน , จะมีทีมงานไปด้วยหรือทำคนเดียวก็ทำไปเถอะ
กลุ่มนี้สนอย่างเดียวงานออกมาไม่ดีไม่จ่ายตังค์ ถ้างานดีเงินก็ถึง ( หลายคนกังวล เวลาใครโพสเรื่องราคา แล้วกลัวลูกค้ากลุ่มนี้เขารู้จะเปลี่ยนใจ ไม่ต้องกลัวคับเขาเข้าใจเรา )...
2. ลูกค้าไม่มีความรู้ ได้แก่ลูกค้าทั่วไปที่มาว่าจ้างให้เราทำงาน ก็จะพูดตรงข้ามกับลูกค้าผู้มีความรู้
…ถ้าคุณว่าอย่างนั้นดีกว่าอย่างนี้ ก็จัดการไปเลยคับ....
เราสั่งลูกค้า.. ลูกค้ากลุ่มนี้หลายครั้งต้องสร้างภาพเหมือนกัน เพื่อให้ลูกค้าสบายใจ อาจไปหลายคน, ใช้กล้องตัวใหญ่, ไฟอาจต้องดูตูมหลายดวง ถ่ายเยอะๆถ่ายน้อยหาว่าขี้เกียจ ฯลฯ
…….อันดับต่อมา ประเภทของงานมี 4 ลักษณะใหญ่ๆ คือ 1. ประเภทโฆษณา ลืมไปได้เลยสำหรับคนเข้าวงการใหม่ๆ
. .อุปกรณ์กล้องแพงที่สุดและดีที่สุด ( ไม่มีข้อแม้ใดๆ ) 2. ประเภทหนังใหญ่ มองไว้เผื่อมีโอกาสฟลุ๊ค
..อุปกรณ์กล้องแพงที่สุดและดีที่สุด ( มีข้อแม้ก็ได้ ถ้าหนังต้นทุนตำ่ก็ใช้กล้องรุ่นรองลงมาหน่อย ) 3. ประเภทงานส่งเสริมการขาย งานอีเว้นท์ต่างๆ ต้นทุนสูง ( มีงบไม่จำกัด ) ….
..อุปกรณ์กล้องไม่จำเป็นต้องแพงที่สุดและดีที่สุด ขึ้นอยู่กับเนื้องานที่ต้องการ 4. ประเภทงานทั่วไป สารคดี ,ฟรีทีวี ,งานแต่งงาน , งานบวช , งานสัมมนา , งานอีเว้นท์งบไม่สูง หรือมีงบจำกัด
…อุปกรณ์กล้องอะไรก็ได้ที่ถ่ายออกมาแล้วภาพสวย ……..มาถึงพวกเราแล้วคับ คนรับงานไปทำก็มี 3 กลุ่มใหญ่ๆ แบ่งตามประเภทเงินลงทุน
1. กลุ่มรวยแบบไม่ตั้งใจ เนื่องจากเป็นกลุ่มผู้มีฐานะ ซื้อทุกสิ่งที่คนขายบอกดีที่สุดในร้าน ซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้า กล้อง-เลนส์ครบทุกช่วงขนาด โปรแกรมตัดต่อลิขสิทธิ์ เอฟเฟคสำเร็จรูปเพียบ
กลุ่มนี้มองอุปกรณ์กล้องเป็นของเล่น น่าศึกษา เดิมตั้งใจถ่ายฟรีให้เพื่อนไม่หวังรายได้มีความสุขที่ได้ทำ ทำเฉพาะวันหยุดหรือเย็นหลังเลิกงาน ได้ก๊วนใหม่กลุ่มกล้องเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้
ไปๆมาๆเพื่อนเห็นงานดีออกมาไม่แพ้มืออาชีพ ก็เลยแนะนำลูกค้ามาให้ช่วยทำ สนุกมันส์ได้ตังค์ กลุ่มนี้จะรับงานจากเพื่อนๆที่เป็นเจ้าของกิจการฯ หรือจ๊อบที่กลุ่มก๊วนทำงานอยู่...
( กลุ่มนี้เป็นคนรุ่นใหม่ อาจไม่มีพื้นฐานในการทำงานด้านนี้เลย แต่ก็สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมได้จากในเว็บต่างประเทศ เนื่องจากเป็นคนที่มีการศึกษาดีจบนอก ภาษาเลยไม่เป็นปัญหา )..
ถ้าเราจับคู่กับประเภทของงานซึ่งมี 4 ประเภท กลุ่มนี้สามารถรับงานได้ทุกกลุ่มเพราะเครื่องมือพร้อม งานไหนยากก็จ้างมืออาชีพเฉพาะคนมาทำ
2. กลุ่มพวกเราส่วนใหญ่ มีฝีมืออุปกรณ์พร้อม ( แต่ไม่เท่ากลุ่ม 1) มีเฉพาะเท่าที่จำเป็นและใช้งานจริงๆเท่านั้น อุปกรณ์น้อยแต่งานออกมาระดับเทพ
ถ้าเราจับคู่กับประเภทของงานซึ่งมี 4 ประเภท กลุ่มนี้สามารถรับงานได้เฉพาะที่ตัวเองถนัด หรือบางคนอาจรับได้ทุกกลุ่มเหมือนกัน งานไหนยากไม่มีเครื่องมือก็เช่าเขาเท่านั้นเอง
3. กลุ่มน้องใหม่ที่กำลังซื้อกล้องเพื่อมาประกอบอาชีพ ( เขียนมาตั้งนานเพิ่งเริ่มต้น...โดนหลอกให้อ่านมาตั้งนาน )
เราจะทำอย่างไรกับสายอาชีพนี้... ถ้าเราดูประเภทของงานแล้ว จะมีเพียงประเภท 4 เท่านั้นที่เราสามารถเข้าไปร่วมได้ ซึ่งความต้องการพิมพ์ให้เห็นแล้วว่า
"…อุปกรณ์กล้องอะไรก็ได้ที่ถ่ายออกมาแล้วภาพสวย " ณ วันนี้ เรามีเงินแค่ไหนก็ซื้อรุ่นนั้นไปใช้งาน เมื่อทำบ่อยๆเก่งแล้วพอมีเงินเหลือก็ค่อยขยับข้ามไปซื้อกล้องรุ่นที่ดีขึ้น เพื่อจะได้รับงานที่กว้างขึ้นและมีรายได้มากขึ้น
ดูงานจากพี่ๆในเว็บ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนโฟกัส หน้าเบลอหลังชัด , ภาพสโลว์ , ภาพสวยฟุ้ง กล้องธรรมดาทั่วไปก็ถ่ายได้เหมือนกันล่ะคับ
ข้อคิดสำหรับซื้อกล้องเพื่อนำมาใช้ประกอบอาชีพ 1.
ควรซื้อกล้องรุ่นที่สามารถถ่ายฟลูเฮชดีได้ รุ่นไหนยี่ห้ออะไรตามถนัดมือที่จับ แต่ขอบอดี้ใหญ่ๆหน่อยก็ดี หรือจะเลือกบอดี้ที่เหมือนกล้องรุ่นแพงก็ได้ วันนี้คล้ายแต่วันหน้าของจริงแน่..
2.
ไม่มีเลนส์ยาวหลังละลาย วิธีแก้คือ พยายามหาแบ็คกราวนด์พื้นโล่ง หรือพยายามอย่าให้มีสิ่งของด้านหลังมาเกะกะ ดึงกวนสายตาของภาพ
3.
กล้องถูกอาจไม่มีจอพับ ไม่กังวล ยังไงเราก็ต้องซื้อจอแอลซีดีอยู่แล้ว ก็ปรับหมุนจอแอลซีดีแทน หรือถ้าไม่มีจอแอลซีดี ก็ถ่ายมันสุ่มๆไปก่อนแล้วมาเปิดดูไม่ดีถ่ายใหม่
การถ่ายภาพมุมตำ่หรือมุมสูง งานไหนงานนั้นมีให้เห็นน้อยมาก …( ถ่ายได้ก็ดีถ่ายไม่ได้ก็ไม่ต้องสนใจ )
4.
ถ้ามีเงินเหลือ จะซื้อเลนส์ยาวหรือกล้องอีกตัวดี แนะนำว่าให้ซื้อกล้องอีกตัวจะดีกว่า สามารถใช้เป็นกล้องสำรองได้ รับงานซ้อน 2 งานได้ หรือจะออกงานพร้อมกัน 2 กล้องเลยก็ได้
เพราะการทำงาน 2 กล้องจะช่วยให้งานเร็วขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น และถ้าลูกค้าเห็นว่าเรามีกล้องเพิ่มในราคาค่าจ้างเท่าเดิม ภาพพจน์ดูดีกว่าจมเลยคับ
5.
ไม่ต้องกังวลเรื่องขนาดของเซ็นเซอร์ภาพ ใหญ่กว่าดีกว่าแน่นอน ( แต่อนาคตไม่ใช่ตอนนี้ ) เพราะจริงๆแล้วเรานำไปใช้เปิดในทีวี หรือไม่ก็จอใหญ่ 50 นิ้ว ฟลูเฮชดีสวยใสสู้ได้สบาย
6. ไม่มีตัวบินไม่กังวล ใช้เดินแทน โดยก้าวขายาวๆสัก 2-3 ก้าว จะไม่สั่น แล้วค่อยมาทำสโลว์ช่วย อีกครั้งหนึ่ง
6.
ถ้าลูกค้าไม่เข้าใจกล้องที่เราใช้ หน้าที่เราต้องอธิบายให้ลูกค้าเข้าใจ ให้ได้ เช่น กล้องรุ่นนี้ถ่ายภาพสวยออกมาเหมือนกัน หรือเปิดงานที่ถ่ายแล้วให้ลูกค้าดู
สรุปมีเงินก็ซื้อกล้องที่แพงที่สุดและอุปกรณ์อื่นเสริมให้ดีที่สุด เพื่อจับกลูกค้าทุกกลุ่ม กล้องแต่ละรุ่น ควรใช้ให้ถูกประเภทของงานจะดีที่สุด เพราะกล้องแต่ละรุ่นจะมีข้อจำกัดที่ไม่สามารถทำงานได้ทุกกลุ่ม ( ศึกษาให้ดี )การจะรับงานประเภทใดควรมีความรู้ในงานประเภทนั้นๆให้มากที่สุด และอย่าลืมดูประเภทของลูกค้าด้วยว่า ต้องการอะไรจากเรา เพื่อที่เราจะทำให้เขาพอใจสูงสุด …… จำไว้นะคับว่า " คนที่ดูถูกเรา..ว่านำกล้องราคาถูกมาใช้งาน ..ไม่ใช่ลูกค้าหรอกคับ แต่เป็นพวกเราที่ดูถูกกันเอง "… [ แก้ไขล่าสุดโดย p0p-it เมื่อ 2012-02-05 11:51 ]