ถ้ามีคนมาดูถูกผลงานของคุณ...

ถ้ามีคนมาว่าผลงานของคุณว่า "ปัญญาอ่อน" จะรู้สึกยังไงครับ


ทั้ง ๆ ที่เราทุ่มเทกว่ามันจะออกมาได้ เลือดตาแทบกระเด็น


ถ้าว่ามันห่วย มันไม่ดี ก็ว่าไปอย่างนะ จะได้รู้จุดว่าควรปรับปรุง
แต่ปัญญาอ่อนนี่ไปไม่เป็นจริง ๆ

ผมคงโมโหแน่ แต่ก็น่ะสิทธิ์ของเขา

ได้ตังค์ก็พอ อย่างอื่นไม่ต้องไปคิดมาก ถ้าเราทำเต็มที่แล้วก็ควรจะภูมิใจ ฟังคอมเม้นท์จากคนที่ใช้เหตุผล พวกกากเกรียนไม่ต้องไปสนเพราะดีแต่เห่า

ทั้งหมดทั้งปวงน้าๆทุกท่านได้กล่าวมาหมดแล้ว นั่นคือการปฎิบัติธรรม ที่เอามาใช้จริงในการดำรงชีพแท้ๆครับ

ต้องดูว่าคนพูดเนี่ยเป็นใคร ทำงานด้านไหน ซึ่งถ้าไม่ได้ทำงานด้านที่เราๆทำกันผมว่า ไม่ต้องไปรู้สึกอะไรหรอกครับ
เพราะเค้าคงดูไม่รู้เรื่องอะไร ดูไม่ออก ดูไม่เป็น ดูไม่รู้เรื่อง กันก็ตีความไปว่า "ปัญญาอ่อน"
ก็รับฟังเค้าไว้เถอะครับพี่

ถ้าทำไม่ได้แบบเรา คนที่ด่าเราปัญญาอ่อน ก็อ่อนยิ่งกว่าเรา คิดแบบนี้สบายใจดี 555

2.ค่าจ้างในการผลิต หมายถึง รวมทุกอย่างเเละต้องมีผลกำไร  อาจมีการต่อรองหรืออย่างไร ก็นะ สุดเเล้วเเต่ รวมถึงการจัดอุปกรณ์ที่จะต้องนำมาผลิตงานนั้นๆ ค่าผลิตทั้งหมด
2.FRAMEWORK  ตัวนี้สำคัญมาก เพราะนั้นหมายถึง ข้อตกลงที่จะต้องทำความเข้าใจ อย่างชัดเจน โดยเอาข้อ 1 เเละ 2 มาทำการบริหารจัดการ เเละส่วนใหญ่เเต่ละท่านจะมีมาตรฐานของตัวเอง รวมถึงลูกค้าด้วย การวางกรอบตัวนี้ จะต้องมีตัวอย่างอ้างอิง เช่น รูปแบบ โลเกชั่น  ความสามารถของตัวเเสดง รวมหมายถึงสิ่งที่มีชีวิตเเละไมชีวิต เเสง สี เสียง มุมกล้อง เทคนิคการถ่าย เทคนิคการตัดต่อ เทคนิคเสียง เทคนิคการกำกับภาพ การกำกับศิลป์ การกำกับการเเสดง หรืออื่นๆ คุยกัน ตกลงกัน ให้เข้าใจ ด้วยเอกสาร คือ บท  สตอรี่  คิว เวลา ตัวอย่างต่างๆทั้งที่เป็นภาพนิ่งเเละภาพยนต์  ตัวอย่างสถานที่  อุปกรณ์ประกอบทั้งหมด  ตัวเเสดง ภาพที่ได้จากการจัดเเสงในรูปเเบบต่างๆ  ที่สำคัญคือ มันตอบสนองความต้องการลูกค้าได้ในระดับไหน ก็คุยเเละตกลงกันให้ชัดเจน
3.เเละถ้าให้เดี ในระหว่างผลิตงาน ควรมีผู้ว่าจ้างมาอยู่ด้วย ส่วนที่ว่าจะมาเองหรือส่งใครมาก็ไม่ว่ากัน เพื่อให้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจขององค์ประกอบภาพที่เกิดขึ้น นั้นเองตั้งเเต่เริ่ม จนตัดงาน เเละส่งมอบงาน
4. คงไม่อธิบายต่อเเล้วนะครับ เพราะว่าเพื่อนๆคงทราบกันหมดเเล้ว  นั้นเเหละ เเต่บางครั้ง เมื่อเข้าสู่สนามการเเข่งขันในเชิงพาณิชย์ ก็อาจเป็นไปได้ ที่หลงลืมกันไปบ้าง  

การสร้างงานในเชิงพาณิชย์ คือ การรับจ้างผลิตเเละรับเงินเป็นผลตอบเเทน เพราะเหตุนี้เราจึงต้องระวังให้มาก โดยเฉพาะภาพรวมที่เกิดขึ้นทั้งหมด ดังนี้ครับ
1.THEME  ธีม = ภาพลักษณ์ + สัญลักษณ์ เเละด้านอารมณ์+ความรู้สึก+การสื่อสาร
2.FRAMEWORK

ชอบภาพของคุณ au8ust ครับ  พระท่านบอกว่า เขาว่า ให้กลับมาดูตัวเอง ว่าเราเป็นอย่างที่เขาว่าหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ แสดงว่าเขาไม่รู้จักเรา
ถือของไว้มาก ๆ ก็หนักครับ วางลงได้ ก็สบาย   ได้ยินคำพูดที่ไหน วางลงไว้ที่ตรงนั้น อย่านำคำพูดกลับมาบ้านให้วุ่นวายครับ

เขาก็มองมุมเขา และเขาอาจจะไม่ใช่กลุ่มผู้ชมที่เราต้องการจะสื่อมั๊งครับ

อ้างอิง

ต้นฉบับโพสโดย sodeclub เมื่อ 2012-08-16 22:08 ถ้ามีคนมาดูถูกผลงานของคุณ... :
ถ้ามีคนมาว่าผลงานของคุณว่า "ปัญญาอ่อน" จะรู้สึกยังไงครับ


ทั้ง ๆ ที่เราทุ่มเทกว่ามันจะออกมาได้ เลือดตาแทบกระเด็น

.......

การวิจารณ์งานชิ้นใดชิ้นหนึ่งนั้น ผู้วิจารณ์จะมองในมุมของตนเอง และใส่ความรู้สึกนึกคิด รวมทั้งประสบการณ์ที่ตัวเองสะสมมา ลงไป การที่เราไปวิจารณ์หนังร้อยล้านว่าไม่ดีตรงนั้นไม่ดีตรงนี้ ไม่ได้หมายความว่า คนวิจารณ์จะต้องเคยทำหนังร้อยล้านมาก่อน ถึงจะมีสิทธิ์วิจารณ์ได้ ดังนั้น คำพูดที่ว่า ดีแต่วิจารณ์งานคนอื่น งานของคุณเองไม่เห็นจะดีตรงไหน ผมว่า คนที่คิดแบบนี้ น่าจะเข้าขั้นปัญญาอ่อน อย่างคุณว่า ใครดูถูกว่างานเรา ปัญญาอ่อน ก็ช่างเขาไป แต่เราอย่า ปัญญาอ่อน ไปดูถูกงานใครก็แล้วกัน เอาคำดูถูกมาเป็นแรงผลักดัน ปรับปรุงผลงานเราให้ดีขึ้นดีกว่าครับ

ด้วยความเคารพ

มันอยู่ที่ความพึงพอใจของลุกค้า  ถ้า วิน วิน ทั้งคู่ ทุกอย่างก้จบ.. life style.. แต่ละคน  มันต่างกานน..

ไม่มีทางหรอกครับที่คน 100 คนจะชอบงานเราทั้ง 100 คน แต่คำพูดแบบนี้ผมก็เคยโดนครับ รับไม่ได้เหมือนกันครับ ผมรับได้กับทุกคำติชมนะครับ ที่เป็น

นักวิจารย์ แต่พวกนักเลงคีบอรด์ผมรับไม่ได้หรอกครับ อย่างว่าครับอย่าไปคิดมากเลยครับดู ที่คนวิจารย์ด้วยครับ  

แต่ในมุมกลับกัน ถ้าเป็นเพื่อสนิด หรือเป็นอาจารย์ที่สอนเรามาปั้นเรามากับมือ ผมรับได้นะ แสดงว่างานเราห่วยจริงๆหวะ *.* ผมดูวิจารย์เป็นหลักอ่ะครับ

อย่าคิดมากครับสู้ๆๆ ^.^

เวลาคนคอมเมนต์งานของเรา ผมมีวิธีคิดดังนี้ครับ

- แยกอารมณ์ กับ ข้อมูลที่เค้าต้องการจะสื่อ ออกจากกันให้ได้ : ดังนั้นในกรณีที่เขาพูดว่า ปัญญาอ่อน ต้องให้เขาอธิบายมากกว่านั้นครับ เพราะคำนี้มันเป็นแค่คำ ๆ เดียว ไม่ถือว่าเป็นการคอมเมนต์ หากเขาพูดแค่คำๆนี้จริงๆ ก็แปลว่า เขาใช้แค่อารมณ์มาตัดสินงาน ไม่มีเหตุผลใดๆ กำกับเลย

-เมื่อแยกอารมณ์ กับ ข้อมูลได้แล้ว ต่อไปคือสังเคราะห์มันออกมาครับ ไม่ใช่ว่าการคอมเมนต์ด้วยอารมณ์จะไม่มีประโยชน์เลย เราอาจสามารถนำมาพัฒนางานต่อไปได้เช่นเดียวกันครับ เพราะการคอมเมนต์จากอารมณ์ อย่างน้อยเขาก็จริงใจที่จะพูดจากก้นบึ้งออกมา โดยไม่ต้องมีเหตุผลใดๆ กำกับ ขณะเดียวกัน บางคน อาจคอมเมนต์ ข้อมูลซึ่งไม่มีที่มาที่ไปเลย หรือ มีเหตุผลแปลกๆ ฟังไม่ขึ้นสักเท่าไร ก็มีเหมือนกัน

- หายใจลึกๆแล้วนับ 1 ถึง 10 ในใจ ถ้าคุณกำลังรู้สึกแย่มากๆ ที่มีคนมาว่าผลงานของคุณ แล้วค่อยๆ กลับไปคิดจากข้อ 1 อีกครั้ง ค่อยๆ นึกว่าคนที่พูด เขาพูดเพราะอะไร สังเคราะห์เฉพาะข้อมูลที่คุณได้จากการคอมเมนต์ แล้วใช้ส่วนนั้นไปพัฒนางานของคุณ ส่วนอารมณ์ที่เขาพยายามกระแทกมา คุณก็หลบหลีกมันซะ อย่าให้มันมาบ่อนทำลายกำลังใจของคุณ แล้วก็เดินหน้าพัฒนางานต่อไปครับ

ประสบการณ์จะสอนให้คุณเป็น "มืออาชีพ" มากขึ้นไป เรื่อยๆครับ ขอให้โชคดีครับ

ผมว่าบางทีมันต้องดูคนวิจารย์ด้วยนะ..
คนที่เค้าเป้นดูหรือนักวิจารย์เป็นจิงๆไม่มีอคติ..เค้าจะมีมุมมองหรือคำพูดมากกว่าคำว่าปัญญาอ่อนหรือห่วยแน่นอน
ผมชอบนะครับเวลาใครมาติชม..คือเราอยากรู้ว่างานเราเป้นไงบ้างในสายตาเขา
ไม่ชอบตรงไหน อะไรยังไงขอให้บอก อยากให้เค้าบอกว้าเึค้ารู้สึกนึกคิดไงเมื่อดูงานเราแล้ว
เพราะเพียงแต่เราคนเดียวบางที่มันเดาใจคนดูไม่ได้ทั้งหมดแน่ๆ

สมัยเรียน อ.มาวิจารย์ อ.เค้ามองจุดบกพร่องเราเป็นจุดๆชนิดเราถึงบางอ้้อเลย
เวลาเรากลับมาดุงานเรามันก้อเป็นอย่างที่เค้าบอกจิงๆ