เขียนบทสู่้การเสนอนายทุน

สำหรับคนที่จะเขียนบทหนังไปเสนอนายทุนหนังใหญ่ สิ่งที่ผมพูดมาขั้นต้น (ลองกลับไปหาอ่านในกระทู้เก่าๆของผมได้ครับ) ก็เพียงพอแล้วสำหรับการพรีเซนท์นายทุนในส่วนของบทครับ

นายทุนส่วนใหญ่อยากเห็น Plot กับ Treatment แค่นั้น เขายังไม่อยากอ่านบทหรอกครับเพราะฉะนั้นเราต้องขัดเกลาพล็อตเราให้ดี ทีนี้ปากดี พล็อตดี ก็อาจจะยังไม่พอครับ สำหรับการพรีเซนท์เพื่อเอาเงินเป็นล้านๆ มาทำหนัง

บทนี้ ...เราจึงจะพูดถึงวิธีการของการขายหนังจากทรีตเมนต์ของเรา

เราต้องไม่ลืมว่าการลงทุนทำหนังแต่ละเรื่องนั้นใช้เงินไม่ใช่น้อย มันเป็นเรื่องของศิลปะสำหรับเรา แต่มันเป็นเรื่องของธุรกิจสำหรับนายทุน งานของเราจบ งานของเขาเพิ่งเริ่ม เรารับค่าตัวหลังจากถ่ายเสร็จเนียนสบาย แต่ทางนายทุนยังไม่ได้อะไรเลยนะครับ ดังนั้นเราควรเอาใจเขามาใส่ใจเรา ท่องจำข้อนี้ไว้นะครับ สำคัญมากๆครับ

ทีนี้หน้าที่ของเราคือต้องเอาศิลปะ(ของเรา) ไปรวมกับธุรกิจ(ของเขา) โดยที่เขาเป็นคนออกเงิน (รวมค่าตัวเราด้วย) สุดท้ายแล้วทั้งหมดที่ลงทุนลงแรงกันมาควรจะต้องขายได้  เอาเงินเขามา 1 บาท เขาได้คืน 1 บาท 50 สตางค์ เขาก็ยิ้มแล้วล่ะครับเพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญที่สุดในการไปพรีเซนท์บทที่เราอยากจะกำกับก็คือ ต้องลองใส่ใจเรื่องธุรกิจ คิดแบบนักธุรกิจ เพราะเราต้องตอบคำถามนายทุนแบบนักธุรกิจ

คำถามยอดฮิตที่เจอแล้วมักจะตอบกันไม่ได้ครับ....
  
1. หนังเรื่องนี้ขายใคร แปลง่ายๆภาษาชาวบ้านก็ใครจะเสียตังค์มาดูหนังเอ็ง แปลแบบภาษาธุกิจก็กลุ่มเป้าหมายของหนังเรื่องนี้เป็นใคร เป็นไงครับคำถามง่ายๆแต่ตอบโคตรยากเลย ถ้าเราทำหนังแอคชั่น กลุ่มเป้าหมายก็คงเป็นผู้ชายวัยทำงาน (รึเปล่าหว่า) หนังรักกลุ่มเป้าหมายก็คงเป็นผู้หญิงวัยรุ่น (จริงมั๊ยน้อ) มันอาจจะดูไม่จำเป็นสำหรับเรา แต่มันจำเป็นมากๆสำหรับฝ่ายการตลาดที่จะวิเคราะห์ หนังของเราควรจะลงทุนเท่าไหร่ ทำการตลาดอย่างไร แต่ถ้าเป็นหนังที่มีกลุ่มเป้าหมายเฉพาะกลุ่ม ในแง่การลงทุน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบัน) มันจำเป็นอย่างยิ่งที่อาจจะต้องจำกัดการลงทุนไม่ให้สูงเกินไปนัก เพื่อลดความเสี่ยง แต่ถ้าหนังมีกลุ่มเป้าหมายที่กว้าง อาจจะมีการลงทุนได้มากกว่า แต่เชื่อเถอะครับ สำหรับผู้ลงทุนแล้วการลงทุนน้อยได้ผลตอบแทนเยอะน่าจะเป็นคำตอบที่อยู่ในใจของเขามากที่สุด

2. หนังเรื่องนี้น่าสนใจตรงไหน เหมือนกันเลยครับกับคำถามแรก ถามง่ายๆ แต่ตอบยากอีกแล้ว... หนังของเราน่าสนใจตรงไหน นั่นสิ มันต้องมองย้อนกลับไปที่แรงบันดาลใจของเราก่อนว่า อะไรที่ทำให้เราสนใจให้เราเขียนบทและอยากจะทำหนังเรื่องนี้ ถ้าความสนใจของเราเป็นความสนใจเดียวกับนายทุน และก็เป็นความสนใจเดียวกับ
ผู้คนในวงกว้างแล้วล่ะก็ โปรเจ็คท์น่าจะมีโอกาสในวงกว้างได้ครับ แต่ถ้าไม่ เขาก็ต้องกลับมาคิดในรูปแบบหนังเฉพาะกลุ่ม แต่คำถามที่ว่าหนังเราน่าสนใจตรงไหนเวลาขายเราก็จะเอา Big Idea มาขายกันครับ

3. Big Idea ทางการตลาด อันนี้ถ้า Theme หรือ Log line เราน่าสนใจเพียงพอก็อาจจะเอามาเป็น Big Idea ได้เลย แต่ Big Idea สำหรับการขายอาจจะเป็นคนละตัวกันก็ได้ ถ้างงลองดูตัวอย่างนี้ครับ
หนังเรื่องบ้านผีสิง Big Idea คือ คุณเชื่อไหมว่า นวลฉวี เจนจิรา และ ผัสพร เคยอยู่บ้านหลังเดียวกัน นี่คือประโยคเด็ดที่ทำให้หนังเรื่องนี้ได้รับการอนุมัติครับ
หรือตอนที่ผมกับพี่ป๋องไปเสนอเรื่อง The letter เขียนเป็นส่งตาย ผมมี ภาพแฮงค์แมน กับประโยคที่ว่าคุณเชื่อเรื่องจดหมายลูกโซ่มั๊ย แล้วคุณเชื่อมั๊ยว่าจดหมายฆ่าคนได้… อันนี้คือประโยคเริ่มต้นของการพูดคุย 
ก็ลองดูนะครับว่าอะไรคือ Big Idea ในหนังของเรา

4. ออฟชั่นเสริม ถ้า 3อย่างที่พูดมาข้างต้นไม่ช่วยอะไร ถ้าเราเสนอบทเพื่อที่จะกำกับเองเราอาจจะต้องมี ออฟชั่นเสริมที่เป็นไปได้ เช่น หน้าหนัง โปสเตอร์ที่เห็นแล้วโคตรอยากดูเลย หรือ การใช้นักแสดง นี่คือหนังแอคชั่นที่มีนักแสดงเป็นทีมโปงลาง หรือทีมส่ายหน้า นี่คือหนังเรื่องแรกของ คุณระเบียบรัตน์ (จำไว้ว่าก่อนไปเสนอควรคุยกับเจ้าตัวเขาก่อนนิดนึงนะครับ) หรือ กำกับโดยเจ้าพ่อผีเมืองไทย อะไรทำนองนี้เป็นต้น

จริงๆแล้ว ก็คือเราต้องมีคำตอบในทุกเรื่องที่ว่ามาข้างต้นแหละครับ อย่าตื่นเต้นจนเกินไป ถ้าเขาชอบก็เป็นเรื่องดี เราจะได้กลับมาพัฒนาบทต่อ แต่ถ้าเขาไม่ชอบ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกครับ สุดท้ายแล้วเราควรหานายทุนที่เห็นชอบกับเรื่องของเรา เพราะว่าเราจะได้ทำงานในแบบที่เราอยากทำบนพื้นฐานความเชื่อเดียวกันครับ...

เป็นประโยชน์มากมายครับ....

สรุปสวยมากครับ เรียบบบ ง่ายยยย ตรงประเด็นดีครับ

โอ้ แน่นเลยครับ

ขอบคุณครับ

ขอบคุณครับ

ขอบคุณ คราบ

ขอบคุณครับ ไว้เด๋วลองมั่ง แต่ถามนิดนึงครับ ด้วยความที่ไม่ได้มีเส้นสายอะไร เราเดินดุ่มๆเข้าไปหาที่ออฟฟิศเขาเลย
แบบนั้นจะได้มั๊ยครับ

อ้างอิง

อ้างอิงโพส 7 ต้นฉบับโพสโดย analys เมื่อ 2011-06-06 21:50  :
ขอบคุณครับ ไว้เด๋วลองมั่ง แต่ถามนิดนึงครับ ด้วยความที่ไม่ได้มีเส้นสายอะไร เราเดินดุ่มๆเข้าไปหาที่ออฟฟิศเขาเลย
แบบนั้นจะได้มั๊ยครับ

เดินเข้าไปเลยครับ อาจจะยังไม่ได้งาน แต่อย่างน้อยจะได้รู้จักครับ เดี๋ยวก็จะมีครั้งต่อๆไป แล้วก็มีเส้นสายในที่สุดครับ ของอย่างนี้ อย่าไปกลัว

ขอบคุณคัรบ

ขอบคุณครับผม ได้แนวทางเลยครับ